กระบี่แห่งจอมยุทธ์นกเหยียว! ปากกา flex pen ที่ทุกคนใฝ่ฝัน! Pilot Namiki Falcon (Elabo) Resin

in Pen by hackhq on 20 May 2016

กว๊าาาากกกก!!! เสียงนกเยี่ยว… เอ้ย เหยี่ยว! (มันร้องงี้เหรอ?) ร้องกึกก้องดังลงมาจากท้องฟ้าที่สว่างจ้า เงาดำขนาดมหึมาโบยบินปราดเปียวอยู่เบื้องบนนั่น ชาวบ้านต่างแตกตื่นกันใหญ่ถึงการปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธอันดับหนึ่งในปฐพี

“โอ้วววว ในที่สุดท่านจอมยุทธ์นกเหยี่ยวก็ปรากฏตัวแล้ววว พวกเรารอดแล้ว!” เสียงชาวบ้านร้องกึกก้องตามท้องถนนต่างแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

“อร๊ายยยยย!! จอมยุทธ์นกเหยี่ยวสุดหล่อ!! ชั้นอยากได้เค้า! จุงกิๆๆๆๆๆๆๆ Descendants of the Sun!!” เสียงสาวน้อยสาวใหญ่ ภรรยาข้าหลวง แม่ม้ายลูกติดรวมถึงนางคณิกาต่างเบียดเสียดชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่างและโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าต้อนรับจอมยุทธ์นกเหยี่ยว


…ที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยการมาของจอมยุทธ์นกเหยี่ยวนั่นก็เพราะว่าบ้านเมืองเราในปัจจุบันเรียกได้ว่าถึงขั้นกลียุค ผู้คนต่างหวาดกลัวไม่กล้าต่อกรกับอำนาจของรัฐเพราะช่างล้นพ้นสว่างจ้าแสบดวงตายากจะขัดขืนได้ เศรษฐกิจฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพง ออกบ้านขับแท็กซี่ตั้งแต่เช้าโดนค่าเช่าค่าแก๊สก็หมดเกลี้ยงแล้ว “วันนี้วันฟรีผมยังต้องมาขับเอาเงินไปจ่ายค่าเช่าที่ค้างอยู่เลย พี่คิดดู!” (วันก่อนไปฟังแท็กซี่บ่นมา) แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดยังไม่ใช่แค่ประชาชนตาดำๆ เท่านั้น ที่หนักเลยก็คือ “บรรดาภรรยาที่มีสามีเป็นจอมยุทธ์ทั้งหลายนี่แหละ” อะไรนะ? พวกเมียๆ เดือดร้อนเรื่องอะไรอ่ะ?

เท้าความจาก เหตุการณ์ในครั้งก่อน หลังจากที่จอมยุทธ์ทรัพย์สูญ(ลูก) ได้ครอบครองกระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยัน และตามล่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่าเพื่อชำระแค้น 15 ปี แต่สุดท้ายกลับพบว่ามันตายตั้งแต่วันแรกที่ขโมยกระบี่หนีไปแล้ว! จอมยุทธ์ทรัพย์สูญผู้ซึ่งผิดหวังและสูญเสียเป้าหมายในชีวิต จึงได้ออกจากยุทธภพ เก็บตัวบำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาแสนหลี้และไม่มีใครได้พบเห็นเค้าอีกเลยเป็นเวลากว่า 10 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน…

วันหนึ่งที่ตรงทางเดินเข้ากระท่อมบนยอดเขาแสนหลี้ ได้มีหญิงสาวผู้นึงซึ่งใบหน้างดงามราวกับโมนาลิซ่าแห่งเอเชียอาคเน ผิวขาวเป็นยองใยและเนียนนุ่มราวกับก้นของเด็กที่ทาแป้งแคร์ แม่นางคนนี้เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครทราบได้ แต่ดูจากที่สามารถตามหาจอมยุทธ์ทรัพย์สูญได้และสามารถปีนขึ้นยอดเขาแสนหลี้ได้นั้น แม่นางคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่ๆ

“ท่านจอมยุทธ์ทรัพย์สูญผู้เยี่ยมยุทธ ข้าน้อยมีนามว่าจิ้ง เป็นคนจากหมู่บ้านรักเร้นลับ อยากพบตัวจริงของท่านจอมยุทธ์มานานแล้ว ข้าเลื่อมใสในวรรยุทธของท่าน อยากขอสมัครเป็นศิษย์ท่านค่ะ” แม่นางจิ้งกล่าวอย่างสุภาพที่หน้าทางเข้า

“แม่นางจิ้งโปรดกลับไปเถิด ข้าต้องการอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องการรับศิษย์หรือถ่ายทอดวิทยายุทธให้ใครทั้งนั้น” ทรัพย์สูญเปล่งเสียงออกมาจากภายในกระท่อม

“ได้โปรดเถิดท่านจอมยุทธ์ ข้าอยากที่จะเก่งกล้ากว่าที่เป็นอยู่ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด” แม่นางจิ้งอ้อนวอนแล้วล้มตัวลงร้องไห้

“เจ้าจะอยากเก่งกล้าไปเพื่อการใดหรือแม่นาง? ถ้าเพื่อล้างแค้นละก็ข้าไม่มีวันสอนอะไรให้เจ้าทั้งนั้น กลับไปเสียเถิด” จอมยุทธ์ทรัพย์สูญผู้เจ็บปวดจากการล้างแค้นกล่าวเสียงหนักแน่น

“ไม่ใช่ค่ะท่านจอมยุทธ์ ข้าเพียงแต่อยากเก่งกล้าเพื่อใช้วิชาปกป้องครอบครัวและช่วยเหลือชาวบ้านทุกคนจากพวกคนชั่วเท่านั้นเอง” แม่นางจิ้งช่างเป็นหญิงงามที่มีจิตใจดีจริงๆ

“อืมมมมมม ฟังจากที่เจ้าเล่ามาแล้ว โลกเบื้องล่างคงวุ่นวายน่าดูสินะ เอาอย่างงั้นก็ได้! ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ก็แล้วกัน จงนำวิทยายุทธที่ได้จากตัวข้าไปปราบพวกเหล่าอธรรมและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ซะ” ในที่สุดจอมยุทธ์ทรัพย์สูญก็มีศิษย์คนแรก

…เวลาผ่านไป 1 ปี

จอมยุทธ์ทรัพย์สูญได้ถ่ายทอดวิทยายุทธทั้งหมดที่มีให้กับแม่นางจิ้งจนหมดสิ้น ฝึกอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนไม่เว้นแม้แต่ตอนเข้านอน ความผูกพันธ์นั้นลึกซึ่งแนบแน่นเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ จอมยุทธ์ทรัพย์สูญได้ตกหลุมรักแม่นางจิ้งเข้าเสียแล้ว จนกระทั่งวันนึงความสัมพันธ์นี้ก็ประทุเดือดเกินกว่าที่ท่านจอมยุทธ์จะสามารถเก็บกดมันเอาไว้ได้ จอมยุทธ์ทรัพย์สูญได้ล่วงเกินแม่นางจิ้งในคืนวันพระจันทร์อับแสง ภายนอกชายคาของกระท่อมอันมืดสนิท เสียงป่าโดยรอบมีแต่เสียงปีกของแมลงตัวน้อยที่บินไปมาเท่านั้น อาจารย์และศิษย์ต้องมนต์เสน่ห์แห่งค่ำคืนมืดมิดและอันหนาวเหน็บนี้

ทั้งคู่ต่างร่ายรำด้วยท่วงท่าน่าอันน่าอัศจรรย์ ผสมผสานเข้ากับกระบวนท่าเพลงกระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยันที่ถ่ายทอดกันมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โรมรันพันตูเข้าใส่กันไม่มียับยั้ง พลักกันถ่ายทอดลมปราณเข้าใส่ร่างกายของกันและกัน แม่นางจิ้งเปรียบเสมือนกับนกน้อยที่พยายามจะบินหนีออกจากกงเล็บของพญาเหยี่ยว แต่อีกใจนึงนกน้อยนี้ก็อยากที่จะโดนกงเล็บอันใหญ่โตนั้นบดบี้และบีบขย้ำในทุกอณูของร่างกาย

เวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วยาม ทั้งคู่ต่างสลบไสลราวกับได้ใช้พลังวัตรที่สะสมมาจนหมดสิ้นในศึกนี้ ศึกใหญ่หลวงภายในกระท่อมน้อยหลังนี้ ทางฝั่งแม่นางจิ้งนอนหันหลังอันเปลือยเปล่าแต่เนียนขาวสว่างมองเห็นได้แม้ในคืนที่มืดมิด ส่วนทางฝั่งของจอมยุทธ์ทรัพย์สูญนั้นนอนสลบด้วยความอ่อนล้าไม่ได้สติ

แม่นางจิ้งตัวสั่นเทาไปด้วยความตื่นเต้นและเสียวซ่านไปทั่วร่าง ภายในความมืดนั้นเตียงสั่นไหวเบาๆ ด้วยแรงสั่นนั้น คืนนี้เงียบสนิทก็จริงแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของแม่นางเลย แต่แค่ชั่วอึดใจ เตียงก็สั่นไหวเพื่มขึ้น เสียงต่ำในลำคอของแม่นางก็ค่อยๆ ดังขึ้นจนแผดเป็นเสียงหัวเราะอันดังกึกก้องได้ยินไปหลายพันลี้

“วะฮ่ะฮ่าาาาาาา! ไอจอมยุทธ์หน้าโง่! ข้าทั้งเปลืองเวลา เปลืองแรง และเปลืองตัว ก็เพื่อให้แผนที่วางไว้จะได้สำเร็จลุล่วงในวันนี้” แม่นางจิ้งแผดเสียงหัวเราะและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา

…แต่ทรัพย์สูญยังไม่ตื่นฟื้นคืนสติ

“เจ้าเฒ่าหน้าโง่ เห็นอะไรขาวๆ นุ่มๆ ก็เข้ามากัดมาฟัดอย่างไม่ยั้งคิด สมหน้า! ข้าเอายาสลบที่ใช้กับพวกวัวพวกควายมาป้ายที่ปลายโฟรโมสต์ทั้งสองข้าง นี่เล่นตะกละตะกลามขอสองกล่องแบบนี้ ไม่สลบเหมือดก็ให้มันรู้ไปซี่!” …ไอแก่นี่มันขาดแคลเซี่ยมนี่เอง โถ

แม่นางจิ้ง …ไม่สิ ต้องเรียกว่านังจิ้งจอกถึงจุถูก นางลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องลับที่อยู่ใต้กระท่อม (โอ้ย กระท่อมกากๆ ยังอุตส่าห์มีห้องลับเว้ย!) และที่ใต้ห้องลับนี้ก็ได้พบกับกระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยันที่ตามหามานานแสนนาน นังจิ้งจอกรีบคว้ากระบี่ออกจากห้องลับและวิ่งหนีออกจากกระท่อมเร้นรักแห่งนี้ เงาลางๆ สีขาวอันสะท้อนมาจากร่างกายที่ไร้อาภรของนางจิ้งจอกวิ่งลอยฝ่าออกมาจนเกือบสุดปลายทางเดิน

“นะ….นี่แม่นาง! ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?! ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 1 ปี มันไม่ได้มีความหมายกับเจ้าเลยใช่มั้ย? ข้าหลงรักเจ้า เจ้าไม่รู้สึกกับข้าเช่นนั้นเลยเหรอ? Don’t you feel the same way? WHY?!!!” ทรัพย์สูญลากร่างโง่ๆ อันอ่อนแรงออกมาจากกระท่อมแล้วพูดภาษาอังกฤษที่จำมาจากเพลงอะไรก็ไม่รู้

“วะฮ่ะฮ่าาาๆๆๆ ไอแก่หน้าโง่! ที่ข้าต้องการมาตลอดนั้นคือกระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยันที่ควรจะเป็นของพ่อข้าต่างหากเล่า!” พูดไปขาวไป คนอ่านก็ได้แต่เม้มปาก

“วะ…ว่าอย่างไรนะ ถ้าอย่างนั้น แม่นางจิ้งก็คือ ละ…ละ…ลูกของ….” ทรัพย์สูญรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายกระโจนเข้าใส่นังจิ้งจอก

“ใช่! ข้านี่แหละคือลูกสาวของเมียคนรองของจอมยุทธ์จิ้งจอกราชัน หรือที่เจ้าเรียกว่าจิ้งจอกเฒ่ายังไงล่ะ!” นังจิ้งจอกดึงกระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยันออกจากฝัก

“ฉั๊วะะะะะ!”

“อ๊าาาากกกกกก อย่านะ อย่าาาาาา!” เสียงกรีดร้องของทรัพย์สูญดังกึกก้อง

นังจิ้งจอกใช้กระบี่ปฐมกาลเหลืองสุริยันฟันแขนข้างซ้ายของทรัพย์สูญจนขาดสะบั้น (อุ๊ย ทำไมคุ้น) แล้วยกขาขึ้นยันที่กลางหน้าผากนทัพย์สูญตกยอดเขาแสนหลี้ไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวของจอมยุทธ์ทรับสูญอีกเลย ส่วนทางด้สนนางจิ้งจอกนั้นก็ใช้กระบี่ที่ไร้เทียมทานนี้สยบทั่วหล้าไม่มีใครสามารถต่อกรได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาของบรรดาเมียๆ จอมยุทย์ทั้งหลาย นังจิ้งจอกเปิดสำนักคุ้มภัย(หืม?) โดยใช้ชื่อว่า “Foxy Massage รับคุ้มภัยโดยพริตตี้” จัดแพคเกจคุ้มภัยบรรดาชายๆ ในราคาสุดพิเศษ B-Course 2,000 บาท net! (ถูกใจให้ไปว่ากันเอง) ราคาถูกขนาดนี้ จอมยุทธ์ทั่วหล้ายากที่จะอดใจไหว เห็นมั้ยว่ามันเดือดร้อนๆๆๆ!

ตัดกลับมาที่ทรัพย์สูญ

หลังจากที่ถูกถีบตกยอดเขาแสนหลี้จนบาดเจ็บปางตาย แต่โชคทีที่ตกมาในถ้ำของโคตรจอมยุทธ์์นกเหยี่ยวในตำนาน (ไม่คิดชื่อล่ะนะ) เดชะบุญที่ภายในถ้ำนั้นมีนกเหยี่ยวอายุพันปีอาศัยอยู่ นกเหยี่ยวตัวนี้เราขอเรียกกันว่า “พี่เหยี่ยว” (นั่นไง คุ้นอีก) พี่นกเหยี่ยวตัวนี้เป็นคู่หูของท่านโคตรจอมยุทธ์์นกเหยี่ยวตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน เรียกได้ว่าหากโคตรจอมยุทธ์ฯ ไปประลองเพลงกระบี่ที่ไหน พี่เหยี่ยวก็จะบินพาไปด้วยทุกที่ และถึงแม้ท่านโคตรจอมยุทธ์ฯ จะตายดิ้นดับสูญไปแล้วแต่พี่เหยี่ยวก็ทำหน้าตามที่ได้รับการฝากฝังเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งเสียสุดท้ายที่ว่า…

“ฝากปกป้องกระบี่นกเหยี่ยว Falcon ด้วยนะ หากพบคนที่คู่ควร จงมอบให้เค้าอย่างไม่ต้องลังเล” แล้วมันก็ตาย…

และนั่นจึงถือเป็นการได้พบกันกับกระบี่เล่มใหม่ที่ไร้เทียมทาน ต้นกำเนิดแห่งจอมยุทธ์นกเหยี่ยว Falcon!


จบพาร์ทนิยาย ขอเชิญเข้าสู่สาระ(เสียที)

Pilot Namiki Falcon (Elabo)

Pilot Namiki Falcon (Elabo)

Pilot Namiki Falcon (Elabo) Resin จริงๆ มันมีชื่อเรียกหลายหลายมากครับ ซึ่งที่ถูกต้องแล้วต้องเรียกว่า Pilot Falcon ครับเพราะเป็นชื่อใหม่จากเดิมที่ใช้ชื่อว่า Namiki Falcon ชื่อดั้งเดิม ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีการรีแบรนด์ใหม่ (ในญี่ปุ่นนั้นจะเรียกว่า Elabo) ดังนั้นถ้าหากมีใครพูดถึง Namiki Falcon เราก็จะสามารถอนุมานว่ากำลังพูดถึงปากกาด้ามเดียวกันนี้ได้เลย เพราะทุกวันนี้คนยังติดปากชื่อนี้กันอยู่ …นอกจากจะเป็นกีคจริงๆ หืม? ว่าไงนะ?!

Namiki Falcon-09

ที่ผมบอกเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่า ไอปากการุ่นนี้ที่เห็นสีดำเปียโนแบล็คกับส่วนต่างๆ ที่เป็นสีเงินนั้น มันยังมีปากกาที่หน้าเหมือนกับอย่างกับฝาแฝด แต่ว่าส่วนต่างๆ ที่เคยเป็นสีเงินนั้นเป็นสีทอง ปากกาด้ามนั้นคืออะไรอ่ะ? ปากกาด้ามนั้นคือ “Namiki Falcon แบบดั้งเดิม” ซึ่งความแตกต่างก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรต่างกันเลยนอกจากสีทองและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนปลอกปากกาเท่านั้นเอง

แกะกล่อง

Namiki Falcon-02 Namiki Falcon-03 Namiki Falcon-04 Namiki Falcon-05

กล่องของปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) นี้ค่อนข้างให้มาจัดเต็มจริงๆ ทั้งภายนอกและภายใน คือตัวกล่องนั้นจะมีซองกระดาษแข็งหุ้มมา 1 ชั้นข้างนอก พอเลื่อนออกก็จะเจอตัวกล่องพลาสติกสีดำที่ทำผิวกล่องให้ขรุขระดูแพง(แต่ก็ยังเป็นพลาสติกอ่ะนะ) เปิดกล่องออกดูของข้างในนี่ผมก็ค่อนข้างตกใจเล็กน้อย คือมันเหมือนเอาทุกสิ่งอย่างยัดเข้ามาในกล่องเสียให้จบ เปิดฝากล่องจากด้านหน้าแล้วก็รื้อของในกล่องออกมาวางดูก็จะพบว่าในปากกา 1 กล่องจะมีของดังต่อไปนี้

  • ตัวปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo)
  • หมึกสีดำแบบ refill
  • หลอดสูบหมึก Ink Converter Con–20 (แบบบีบๆ squeeze converter)
  • ใบรับประกันสินค้า
  • คู่มือการใช้งานปากกา
  • *หลอดสูบหมึก Ink Converter Con–50 เสียบมาในตัวปากกา (แบบหมุนติ้วๆ)

Namiki Falcon-06

หน้าตาโดยรวม

Namiki Falcon-10 Namiki Falcon-11Namiki Falcon-12

ต้องบอกว่าเจ้าปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) ด้ามนี้เป็นปากกาแบบมาตรฐานที่เรามักจะคุ้นเคยกัน อธิบายได้ง่ายๆ ก็คือว่าถ้าคุณผู้อ่านเคยเดินตามร้านปากาต่างๆ จะรู้สึกคุ้นว่าทำไมปากกาถึงมีหน้าตาลักษณะเหมือนไอด้ามนี้อยู่เต็มไปหมดเลย ด้ามสีล้วนแล้วคาดเส้นสีเงินสีทองดูคล้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Sailor, Waterman หรือ Montblanc โอยย มีอะไรอีกนะนึกไม่ออกแต่เยอะอ่ะ นี่แหละคือคำอธิบายหน้าตาของปากกาแบบนี้
Namiki Falcon-13Namiki Falcon-14Namiki Falcon-15Namiki Falcon-17Namiki Falcon-16

ตัว Pilot Falcon ด้ามนี้นั้นลักษณะรูปร่างโดยรวมจะเหมือนซิการ์ที่ผอมๆ บางๆ จับถนัดมือหน่อยรายละเอียดตามจุดต่างๆ จะเป็นโลหะสีเงินสะท้อนแสงเอามาวางตัดสีดำของตัวปากกา ไม่ว่าจะเป็นคลิป ด้านบนของปลอก เส้นต่างๆ เช่นเส้นรอบปลายปลอกจะมีการสลักคำว่า PILOT แบรนด์ของปากกาบนวงแหวนสีเงินด้วย และอีกจุดที่ผมชอบใน Pilot Falcon ด้ามนี้ก็คือการใช้เหลี่ยมมุมในการออกแบบทำให้หน้าตามันไม่เชยไปเสียทั้งหมด หัวปลอกและปลายด้ามมีการตัดให้ดูทันสมัย ตัวคลิปเหน็บก็ทำให้เป็นเหลี่ยมๆ ลบคม ดูสวยไม่เชยน่าเหน็บกระเป๋าเสื้อ

มีรุ่นที่เป็นเหล็กด้วยนะ!

อะไรกันเนี่ยะทำไมมันรุ่นเยอะ! เอาน่าๆ ก็มันมีทั้งคนที่ชอบปากกาแบบเบาๆ และหนักๆ อยู่ไงเค้าเลยทำมาให้ครบเครื่องกันไปเลย โดยปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) นี้ถ้าเอากระโดดออกมาข้างนอกแล้วมองโดยรวมจะเห็นว่าจริงๆ มันสามารถแยกเป็นรุ่นใหญ่ๆ ได้ 2 รุ่น คือรุ่นที่ตัวด้ามใช้วัสดุเป็นเรซิน Resin (ด้ามนี้แหละ) และอีกแบบที่ตัวด้ามใช้วัสดุที่เป็นโลหะไปเลย ซึ่งความแตกต่างผมขอสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้- วัสดุเป็นโลหะ

  • น้ำหนักมากขึ้น คนที่ชอบปากกาจัดแน่นๆ มีน้ำหนักน่าจะถูกใจล่ะ
  • ขนาดใหญ่ขึ้นอีกนิด ทำให้สามารถใช้ ink converter รุ่น CON-70 ได้
  • ราคาแพงขึ้น กร๊ากกกก ก็มันเป็นโลหะอ่ะ!
  • หน้าตาเปลี่ยนเล็กน้อย ส่วนบนของปลอกปากกา, เส้นโลหะรอบปลอก, ก้นปากกา เป็นต้น

Nib

Namiki Falcon-34

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเราต่างให้ความสนใจเจ้าปากกาด้ามนี้นั่นก็คือเรื่องของ nib ครับ ปากกา Namiki Falcon นั้นเลื่องชื่อในด้านความเป็นปากกาประเภท modern flex ซึ่งยืดหยุ่นได้ สามารถสร้างเส้นที่มีทั้งบางหรือหนาได้ตามน้ำหนักแรงกดของมือ ซึ่งถือเป็นจุดที่มีความพิเศษแตกต่างกับปากกาหมึกซึมทั่วๆ ไปที่ nib มันไม่ยืดหยุ่นเลย วัสดุที่ใช้ทำ nib ของ Pilot Namiki Falcon (Elabo) ด้ามนี้นั้น ตามสเปคคือ “14K Gold Rhodium-plated ” หรือแปลเป็นไทยก็คือ “ทองคำ 14K ชุบ Rhodium” (Rhodium ที่เค้าเอาไว้ชุบพวกสร้อยเงินให้ดูวาวๆ ไม่หม่นอ่ะ) ดังนั้นถ้าใครถามว่า nib ทำจากอะไรก็ตอบไปอย่างมันใจได้เลยว่า “ทำมาจากทองเนื้อเก้าหว่ะ” …ทำจากทองคำ 14k เฟ้ย!

Namiki Falcon-35

แน่นอนว่าเราซื้อ Pilot Falcon มาก็เพื่อที่อยากจะ flexๆๆๆๆ กันจริงมะ? ซึ่งความเป็นจริงแล้ว nib ของปากกา Pilot Falcon นั้นมีขนาดให้เลือกมากมายมากๆ เลยนะเหมือนปากกาหมึกซึมทั่วๆ ไปเลย F, B อะไรก็มี แต่ในครั้งนี้ผมจะขอโฟกัสที่ nib แบบ flex ครับ ดังนั้นถ้าอยากได้ให้ถูกต้องก็ให้สังเกตตัวหนังสือ S ที่ด้านหน้าเบอร์ของ nib ซึ่ง Pilot Falcon รุ่นนี้มี nib แบบ flex ให้เลือกด้วยกัน 4 ขนาดครับ คือ

  • SEF – Soft Extra Fine เส้นเล็กมากเพราะว่าปากกาญี่ปุ่น nib จะให้เส้นเล็กกว่าเมื่อเทียวกับฝั่งตะวันตกที่เบอร์เท่ากันนะ ซึ่งผมว่าอันนี้น่าจะเหมาะกับคนที่จะซื้อมาแล้วใช้งานหนักไปทางตัวอักษร Script ที่ต้องการเส้นบางๆ ตอนลากเส้นและลงหนักที่เส้นหนา เพราะจะทำให้เห็น line variation ได้ชัดเจนครับ (มันต่างกันเยอะในเส้นบางกับเส้นหนา)
  • SF – Soft Fine เส้นเท่า EF ของลามี่เลย (ของผมเลือกขนาดนี้มา) เดี๋ยวจะรีวิวเจาะลึกให้อ่าน
  • SM – Soft Medium (เล่นมุกตรงนี้จะเหมาะสมมั้ย?)
  • SB – Soft Board

Namiki Falcon-36สิ่งนึงที่ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันมั้ยถึงทำให้เรียกปากการุ่นนี้ว่านกเหยี่ยว Falcon นั้นก็คือหน้าตาของส่วน nib นั่นก็เพราะว่าผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับจงอยปากอันแหลมคมของนกเหยี่ยว ซึ่งดูสวยงามเท่ดี

Ink Converter

Namiki Falcon-27 Namiki Falcon-24 Namiki Falcon-25 Namiki Falcon-26Namiki Falcon-23

ตอนเปิดกล่องออกดูพวกเราก็ได้เห็นไปแล้วเนาะว่าเค้าแถม ink converter มาให้ 2 แบบคือ CON–20 และ CON–50 โดยแบบที่ผมเลือกแน่นอนว่าต้องเป็นรุ่น CON–50 เพราะผมถนัดที่สุดและที่สำคัญคือหลอดมันใส สามารถมองเห็นปริมาณหมึกที่เหลืออยู่ได้ง่าย ต่างกับตัว CON–20 ที่ทึบไปหมดเลย โดย ink converter ที่สามารถใช้กับปากการุ่นี้ได้ก็มีดังนั้น

  • CON-20 0.9ml บีบๆ Squeeze converter
  • CON-50 0.6ml มีท่อเหล็กข้างในด้วย มันเอาไว้ใช้ไล่ฟองอากาศเพื่อช่วยให้หมึกไหลได้ต่อเนื่องขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเวลายกปากกาหรือจรดปากกามันจะมีเสียงหลอดเหล็กเลื่อนลงมา ก็ไม่ได้อะไรหรอกแค่น่ามคาญ!
  • *CON-40 0.4ml แปะข้อมูลไว้หน่อย เพราะปากกาล็อตใหม่ๆ จะได้ใช้หลอดสูบนี้กันล่ะ ไอรุ่นนี้ก็จะมีลูกเหล็กเม็ดเล็กๆ ข้างในหลอดอยู่ 4 ลูก เอาไว้ทำหน้าที่เดียวกับหลอดเหล็กเหมือนรุ่น CON-50 นั่นแหละ

ขนาด น้ำหนัก จับถือ(เสียบปลอก)

Namiki Falcon-32 Namiki Falcon-31 Namiki Falcon-33

เนื่องจากรุ่นที่ผมมีอยู่ในมือนี้คือ Pilot Namiki Falcon (Elabo) Resin ซึ่งวัสดุที่ใช้ในตัวด้ามเป็นส่วนหลักก็จะเป็นเรซิ่นที่มีน้ำหนักเบามาก ขณะที่ใส่ปลอกปากกาจะมีน้ำหนักที่ 18.6 กรัม พอถอดปลอกออกเท่านั้นแหละเหลือเพียง 9.9 กรัมเท่านั้นเอง ตอนผมถือขึ้นมาครั้งแรกนี่เบาจนผมตกใจเลยเพราะดูหน้าตาภายนอกเหมือนจะหนัก ยิ่งตอนที่ถอดปลอกปากกาออกนี่เบาหวิวสบายมือมาก ใครชอบปากกาเบาๆ น่าจะถูกใจรุ่น Resin กันนะ ส่วนเรื่องสมดุลก็จะอยู่ที่กลางปากกาเลยครับไม่เทไปหัวหรือไปหางถ้าหากไม่ได้สวมปลอกอ่ะ ถ้าสวมปลอกเข้าที่ก้นก็ตามนั้น ไทเท (โว้วมุกไรวะ)

Namiki Falcon-28 Namiki Falcon-29 Namiki Falcon-30Namiki Falcon-20Namiki Falcon-21Namiki Falcon-22
ส่วนเรื่องรูปร่าง ส่วนสูง ความยาวนั้นก็ขอเทียบกับลามี่ที่รักให้เห็นกันจะจะไปเลยนะจะเห็นว่าสามารถคุ้นชินได้ไม่ยากนัก


ซื้อที่ไหน? ราคาเท่าไหร่?

Namiki Falcon-18

จริงๆ แล้วปากกาด้ามนี้ผมซื้อมาเมื่อต้นปีครับ โดยซื้อจากผู้ขายคนนึงบน ebay ด้วยราคาที่ตอนนั้นผมคิดว่าถูกมากแล้วที่ 5,154 บาท เป็นราคาที่รวมค่าส่งแบบ EMS มาไทยแล้วด้วยนะ แต่! วันก่อนครับ! ผมกำลังหาร้านขายหมึกปากกาจากฝั่งญี่ปุ่นอยู่ แล้วก็หลงเข้าไปที่เว็บนี้เข้า เป็นเว็บที่ขายปากกาแบนด์ดังของญี่ปุ่นล้วนๆ เลย มีทั้งปากกาแบบต่างๆ แถมยังมีหมึกไก่ฟ้าคอบเปอร์ Sailor Jentle Ink : Yama-dori ขายอีกด้วยนะ! เว็บนี้มีชื่อว่า engeika.com เจ้าของก็คือคุณ Taizo และทีนี้ราคาที่วางขายบนเว็บนั้น ตัว resin จะอยู่ที่ 133.20 USD หรือเท่ากับ 4,752 บาท และค่าส่งแบบ EMS มาไทยจะอยู่ที่ 8 USD (285 บาท) ดังนั้นราคารวมเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ 5,037 บาท!! นี่มันถูกกว่าผมไปซื้อที่ ebay อีกนะ! กรี๊ด!!!

โปรพิเศษ ลดอีก 10% สำหรับบีบีบล็อกเท่านั้น!!

โอ้ยผมก็บ้าเนาะ กร๊าากก คือว่าเห็นราคามันถูกอยู่แล้วแต่ก็อยากได้ให้ถูกอีกไงเพราะอยากจะให้คุณผู้อ่านชาวไทยได้ใช้ปากกาดีๆ แบบนี้ในราคาที่สบายกระเป๋าแบบสุดๆ ไม่ต้องบินไปญี่ปุ่นหาซื้อให้เมื่อย ผมเลยลองติดต่อคุณ Taizo ดูว่าพอจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้อ่านของบีบีบล็อกบ้างมั้ย? ผมก็แนะนำตัวไปและพูดคุยกันสนุกเชียว สุดท้ายแกเลยบอกว่า เหรอๆ จะรีวิวปากกาด้ามนี้ใช่มั้ย? งั้นจัดโปรพิเศษสำหรับคุณผู้อ่านของบีบีบล็อกไปเลย เย้!!

โปรโมชั่นลดราคา 10% ปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) ทุกรุ่น!

ใช่ครับ ทุกรุ่น! ที่เป็นปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Resin หรือ Metal สีนู้นนี้หรือ nib ขนาดอะไรก็ตามก็ตามได้ลดหมด! โดยวิธีก็ง่ายๆ เพียงแค่ป้อนโค้ดนี้ก่อนที่จะทำการจ่ายเงินในหน้าสุดท้าย มันจะมีช่องให้เราป้อนโค้ดครับ โดยโค้ดลดราคาที่ว่าคือ!

 

bbblogr10

 

 

คลิกดูปากกาที่ได้โปรได้ที่นี่ : http://www.engeika.com/product-group/693

 

โปรนี้จำกัดเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น! (หมดเขต 4 มิถุนายน 2559)

ใช่! ก็ราคาปากกาบนเว็บนี้มันโคตรถูกอยู่แล้วอ่ะ ดันไปลด 10% สงสัยจะมีเจ๊งก็คราวนี้ กร๊าากกก โปรนี้จะใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2559 (มีเวลาให้ตัดสินใจ 2 สัปดาห์) ดังนั้นใครที่กำลังเล็งๆ จะซื้อปากกาที่ดีงามแบบนี้ นี่เป็นโอกาสอันดีสุดๆ ที่จะสอยล่ะนะเพราะผมเชื่อว่า โปรแบบนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อีกแล้วล่ะ ผมเองก็กะจะสอยตัว Metal มาเก็บไว้อีกสัก 1 ด้ามเลย

ผมลองทำราคามาให้ดูครับว่าเมื่อใช้โปรแล้วมันจะเหลือด้ามละกี่บาทกัน

falcon-resin falcon-metalทำมาให้ดูทั้งสองรุ่นเลยนะซึ่งเป็นราคารวมค่าส่งและได้รับโปรลดราคาแล้ว รุ่น Resin แบบของผมนี่จะเหลือเพียงด้ามละ 127.88 USD หรือเท่ากับ 4,562 บาท ว๊าาากกกกกกกกก!!!! เจ็บใจเว้ย! ส่วนรุ่น Metal เหล็กล้วนที่ผมจะซื้อจะเหลืออยู่เพียง 178.10 USD หรือเท่ากับ 6,354 บาท …อืมมมมมม รู้ว่าถูกมากนะลดไปตั้ง 640 บาท แต่คงต้องขายลามี่เอาเงินมาซื้อล่ะ

ต้องขอขอบพระคุณคุณ Taizo มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับที่ให้โปรพิเศษกับคุณผู้อ่านของบีบีบล็อกเช่นนี้ ตัวผมนั้นไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือได้ค่าคอมมิชชั่นอะไรนะ แค่อยากให้คุณผู้อ่านได้ซื้อปากกาด้ามนี้ที่พวกเราคุยกันมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดเพจในราคาถูกๆ เลยลองเนียนขอส่วนลดดู ดันได้ซะงั้น! กร๊าาาากก

รีวิวร้าน engeika.com หน่อย

ผมเพิ่งสั่งซื้อหมึกมา 2 ตัวครับเมื่อเร็วๆ นี้เองเพื่อจะลองดูว่าเค้าส่งของยังไง ส่งเร็วหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้ผมถือว่าถูกใจมากเลยนะ ผมสั่งหมึกไปนับได้ 1 ขวดใหญ่ 3 ขวดเล็กครับ เป็นขวดแก้วทั้งหมดซึ่งทางร้านก็แพ็คหมึกด้วย bubble wrap มาแน่นหนาทีเดียวแถมยังใส่ในซองกันกระแทกให้อีกชั้น ทางร้านจะใช้เวลาเตรียมของประมาณ 3 วันครับซึ่งผมคิดว่าคงตามรอบส่งแหล่ะ แล้วก็ส่งพัสดุแบบ EMS มาให้พร้อมเมลแจ้ง tracking no. มาด้วย โดยจากวันที่ส่งของจนถึงมือผมนั้นรวมแล้วจะประมาณ 3–4 วันครับ ของถึงมือสมบูรณ์ไม่มีขวดหมึกรั่วหรือแตกเลย คิดว่าปากกาก็ยิ่งไม่มีปัญหาอะไรนะแหงซะขนาดนั้น หมายถึงปากกาเหรอ? เปล่า กระเป๋ากุเนี่ยะ…

ทีนี้ขออธิบายเรื่องปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) ที่ซื้อจากร้านนี้สักหน่อย ผมลองอ่านคำอธิบายในหน้าปากกาพวกนี้ได้ความว่าในกล่องจะให้ ink converter รุ่น CON–40 มาให้นะครับซึ่งต่างกับของเก่าแบบผมที่ซื้อมาที่จะได้ CON–20 และ CON–50 ทั้งนี่น่าจะเป็นเพราะเมื่อปลายปี 2015 ที่ผ่านมา ทาง Pilot มีการประกาศว่าจะเลิกผลิต ink converter รุ่น CON–20 และ CON–50 แล้วเปลี่ยนมาใช้ CON–40 แทน เพราะว่า CON–40 ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้กับปากกาทุกรุ่น มันเลยง่ายต่อการผลิตไงครับ ผลิตครั้งเดียวใช้ได้หมดเลยงี้ ดังนั้นถ้าคุณผู้อ่านซื้อมาแล้วของในกล่องได้ไมาเหมือนผมก็ไม่ต้องแปลกใจนะ คุณได้ของล็อตใหม่ล่ะครับ


เขียนจริง

Namiki Falcon-37

รู้สึกว่าวันนี้ทำไมพล่ามเยอะจังวะกว่าจะเข้าเรื่องการเขียนจริง จริงๆ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ตอนยังได้เลยแต่ช่างมันเหอะ(บ่นอีก) แน่นอนว่าเราซื้อมาเพื่อการ flex ดังนั้นเราต้องเขียนในทุกกรณี

Namiki Falcon-41

ผมเอาปากกาด้ามนี้มาลากเส้นที่น้ำหนักมือต่างๆ กันและนำไปเทียบกับ Lamy Safari EF ดูเพื่อให้เห็นว่าขนาด SF ของ Pilot Namiki Falcon (Elabo) นั้นให้เส้นที่ใกล้เคียงกับ EF ของลามี่เลย ส่วน line variation นั้นก็สามารถทำได้ง่ายไม่ต้องแรงมากมายเพื่อให้มัน flex

Namiki Falcon-38Namiki Falcon-39Namiki Falcon-46แต่! ต้อขอบอกว่าปากกาด้ามนี้มันยังไม่ใช่ปากกา flex เป็นแบบแท้ๆ ที่นุ่มมมมมมมม ถ้าจะให้ผมมองผมมองว่าระดับความ flex และความกว้างของเส้นจะอยู่ประมาณ semi-flex ค่อนไปทาง flex ครับ มันไม่ได้กดแล้ว flex ง่ายๆ เหมือนพวก classic flex fountain pen จึงไม่ได้ให้เส้นที่หนากว้างมากมายตามแรงกด

Namiki Falcon-42ผมขอเขียนแบบปรกติมนุษย์ก่อนนะนั่นก็คือเขียนแบบจดบันทึก nib ขนาด SF นั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยครับในเรื่องการเขียนปรกติเพราะหมึกไหลดีเลยนะและเรื่องความลื่นตอนเขียนก็ลื่นมือดีด้วย ไม่การสะดุดหรือกัดกระดาษให้น่ารำคาญใจเลย nib เค้าคุณภาพสูงจริงให้ตายเหอะ

Namiki Falcon-44 Namiki Falcon-43 Namiki Falcon-45

พอจบเรื่องการเขียนแบบธรรมดาไปแล้วก็มาถึงเรื่องที่อยากทดสอบจริงๆ จังๆ นั่นก็คือเรื่องความ flex ผมลองเลยครับด้วยการเขียนตัวหนังสือหวัดและตัวอักษรประดิษฐ์ ซึ่งเจ้า SF ของ Pilot Falcon ด้ามนี้ก็สามารถทำหน้าที่ “ได้ตามความสามารถของมัน” กล่าวคือเนื่องด้วยผมบอกไปข้างต้นว่ามันเป็นปากกา semi-flex ที่ค่อนไปทาง flex มันจึงสามารถใช้เขียนตัวอักษรประดิษฐ์ได้ดีในระดับนึง มีเส้นเล็กขนาด EF Lamy และพอลากเส้นลงที่เราจะทิ้งน้ำหนักมือเพิ่มขึ้นก็สามารถให้เส้นที่หนาได้แต่ก็ไม่ได้หนามากเหมือนพวกปากกา G-Pen ที่ใช้เขียน Calligraphy กันจริงๆ จังๆ นอกจากนั้นในส่วนที่มีการลงน้ำหนักเส้นและลากไปด้านข้าง มันก็ไม่ได้ลื่นปรื้ดอะไรนะ ความรู้สึกก็คล้ายๆ กับ G-Pen นั่นแหละที่มันจะสะดุดผิวกระดาษนิดๆ “แต่ไม่มากเหมือน G-Pen” ก็แหงล่ะเพราะปลาย nib มันไม่ได้แหลมคมนี่ เพียงแค่พอสะดุดให้รู้สึกว่าปลาย nib ด้านในมันลากกับผิวกระดาษ

เส้นขาด?

Namiki Falcon-40

ซึ่งจากเส้นปากกานั้นเราจะเห็นว่าเมื่อคุณลงน้ำหนักเยอะๆ ให้เส้นมันใหญ่ขึ้น มันจะไปสูงสุดที่ระดับที่มันจะเขียนได้แล้วเส้นจะแยกออกจากกันเนื่องด้วยหมึกมันส่งมาไม่ถึงปลาย nib ซึ่งทีแรกผมก็คิดว่าปากกาด้ามนี้มีการส่งหมึกที่ไม่ดีหรือเรียกว่า ink flow ไม่ดี แต่เมื่อลองเขียนบันทึกแบบปรกติทั่วไปไม่ได้กดหนักมากมายก็สามารถเขียนได้ลื่นไหลหมึกท่วมดีด้วยนะ สงสัยสินะว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ผมเลยลองซูมดูใกล้ nib ว่าเวลาที่เรากดปากกาลงไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้น

elabo-flex-600

ตอนที่เรากดหัวปากกาลงไปบนกระดาษนั้น ปลายของ nib มันหยืดหยุ่นและยกตัวขึ้นครับซึ่งมันก็ทำหน้าที่ flex ของมันไง แต่เมื่อเราออกแรกกดไปถึงระดับนึ่ง ปลาย nib มันจะยกห่างออกไปจาก ink feed เยอะมาก เลยทำให้น้ำหมึกจาก ink feed ไม่สามารถไหลไปตาม slit ได้ (รอยผ่าที่กลาง nib ระหว่าง tine ทั้งสองข้าง) นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่สามารถส่งหมึกไปถึงปลายได้ครับ แต่เมื่อเราผ่อนแรงกดปากกาลงหน่อยยกปลายปากกาขึ้นนิดนึงให้ nib ได้สัมผัสกับ ink feed แค่เพียงเล็กน้อย หมึกมันก็ไหลกลับมาท่วมเหมือนเดิมล่ะ (ดู GIF นะ)

วาดจริง

บอกตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนผมจะใช้ปากกาหมึกซึมในการสเก็ตช์ภาพ แน่นอนว่าเป็นปากกาลามี่ที่รักแล้ว nib เป็นขนาด EF ซึ่งเวลาเราจะสเก็ตช์เส้นบางๆ เราก็ลากมือเบาๆ ไม่ต้องกดปากกามาก ส่วนเวลาที่จะเน้นเส้นอะไรยังไงก็แค่กดให้แรงขึ้นหรือวาดซ้ำอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเส้นมันก็จะหนาขึ้นเล็กหน้อยแต่ไม่ได้ขยายกว้างออกไปมาก แต่ความรู้สึกของการใช้ flex nib ในการวาดภาพนั้นแตกต่างกันครับ ผมวาดภาพโดยใช้ Pilot Namiki Falcon (Elabo) ขนาด nib คือ SF Soft-Fine ซึ่งจากที่เรารู้กันก็คือ nib ทางฝั่งญี่ปุ่นจะมีขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับปากกาทางฝั่งตะวันตก ดังนั้นเส้นที่ได้จาก F ของญี่ปุ่นจึงมีขนาดที่เล็กพอดีเท่ากับ EF ของลามี่ ผมเลยไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในเรื่องของเส้น

Namiki Falcon-47

แต่ความเจ๋งมันเป็นเรื่องของการเน้นเส้น บางครั้งที่ผมอยากจะเน้นเส้นเป็นพิเศษเช่นวัตถุที่อยู่ใกล้ตา หรือกรอบหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมแค่ลงน้ำหนักมือให้เยอะขึ้นอีกหน่อย เส้นมันก็จะหนาขึ้นตามใจนึกโดยเราไม่ต้องออกแรงมากเลย บางคนอาจจะใช้วิธีเขียนเส้นซ้ำถ้าเป็นปากกาแบบเมื่อก่อน แต่ผมชอบแบบนี้มากกว่านะเพราะเส้นที่ได้มันจบในการลากเพียงครั้งเดียว แต่ทั้งนี้ในการวาดจริงผมไม่ได้ตะบี้ตะบันกดปากกาให้มัน flex เส้นหนาเบ้งหรอกนะ ผมลงน้ำหนักมือตามอารมณ์ครับ เลยกลายเป็นว่าได้ใช้คุณสมบัติความเป็น flex pen โดยไม่รู้ตัว เส้นหนาสมใจจริงๆ

Namiki Falcon-48

ตัวอย่างภาพสเก็ตช์พวกนี้ผมอยากให้มองดูบางจุดในแต่ละรูปครับ จะเห็นว่ารูปคนนั่งรอเครื่องบินและรูปนั่งทานข้าวกะเพราเนื้อในร้านอาหารนั้นจะมีบางส่วนที่ผมเน้นเส้นและวาดแบบไม่แยแสรายละเอียด ไอส่วนเน้นเส้น เช่นเส้นโครงของคน เส้นผมหยิก ขอบโต๊ะขอบแก้ว ผมก็ลงน้ำหนักมือปรกติอาจมีเพิ่มนิดๆ เพื่อให้เส้นดูหนาขึ้น แต่ในส่วนที่ไม่เน้นเช่นห่อข้าวกล่องโฟมหรือชุดโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ไกลตา ผมก็จะลงน้ำหนักมือเบาๆ เพื่อให้ได้เส้นเล็ก

Namiki Falcon-49 Namiki Falcon-50

อีกภาพเป็นภาพล่าสุดที่ผมลองเล่นเส้นหลายๆ แบบดู พวกขอบผ้าม่านพลาสติกที่ด้านมุมขวา แฮมเบอร์เกอร์หรือชายผ้าคลุมโซฟา ผมอยากเน้นให้เด่นและกั้นส่วนให้ชัด ก็จะลงน้ำหนักมือเยอะหน่อย เส้นเดียวจบ แต่ในส่วนอื่นๆ ผมจะใช้น้ำหนักมือปรกติก็จะได้เส้นแบบเดียวกับ EF ของลามี่เลย ทีนี้มันจะมีบางเส้น(ที่ผมลืมไปแล้วว่าเส้นไหนบ้าง) ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเส้นรอยต่อของแผ่นปูนที่อยู่เหนือพื้นขึ้นมา ผมหงาย nib แล้วใช้ด้านหลังเขียนครับ ซึ่งก็สามารถเขียนได้นะให้เส้นบางทีเดียว ถือครบเครื่องในด้ามเดียวจริงๆ (ไหนๆ ใครใช้ด้ามนี้ตัดเส้นการ์ตูนบ้าง มาเม้าท์กันหน่อยซิ)


ไขข้อข้องใจ! ชั้นดูคลิปอันเลื่องชื่อก็เห็นมันโคตรจะ flex เลยนี่!

อ่ะ งั้นไปดูกันก่อนสำหรับคนที่ยังไม่เคยดูนะ

อ่านจากรีวิวแล้วมันไม่ได้ flex อย่างที่คิดสินะ?

ผมเชื่อเลยครับว่าหลายๆ คนนั้นที่อยากจะได้เจ้าปากกา Namiki Falcon มาครอบครองนั้นส่วนใหญ่คงจะเป็นคนที่เคยได้ดูคลิป Custom Namiki Falcon Resin Fountain Pen modified by John Mottishaw ในตำนานใช่ไหมครับ? ดูในคลิปแล้วมันโอ้โห flex อย่างนั้น นุ่มอย่างนี้ แต่ความเป็นจริง nib SF แบบมาตรฐานที่ขายมาพร้อมปากกามันไม่ได้ flex แบบนี้เลยครับ นั่นเป็นเพราะว่าในคลิปวิดิโอนั้น เป็นการนำเอาปากกา Namiki Falcon ไปโม nib ให้มันโคตร flex ซึ่งฝรั่งเค้าเรียกการโมให้ flex ระดับนี้ว่า Spencerian customization เป็นการโม nib โดยผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง nib ปากกาหมึกซึมที่เรียกกันว่า Nibmeister ให้มีความยืดหยุ่นจนถึงระดับที่สามารถเขียนตัวหนังสือแบบ Spencerian Script ได้ ก็คือไอที่บางๆ งดเงี้ยววื้ดๆ สุดคลาสสิคนั่นเอง

แต่มันไม่ได้เหมาะกับการใช้งานทั่วไป!

ยังไงล่ะท่านจอมยุทธ์นกเหยี่ยว? อธิบายได้ง่ายๆ ก็คือในเมื่อปากกาของเรามัน flex ในระดับ Spencerian เวลาคุณผู้อ่านเอามาใช้เขียนจริงๆ ปลาย nib มันก็จะเดี๋ยวนุ่มเดี๋ยวยุบๆ หรือที่เรียกว่าปลายสะบัด มันเขียนจดบันทึกทั่วไปไม่สะดวกเลย นึกง่ายๆ ก็คือว่าเราเอา G-Pen มาใช้เลคเชอร์อ่ะ หัวมันสะบัดขึ้นลงอีกทั้งยังกัดกระดาษด้วยจนทำให้เขียนยากขึ้นกว่าปรกติครับ ดังนั้น Spencerian customization จึงเหมาะกับคนที่ “ซื้อมาใช้งานเขียนตัวอักษรโดยเฉพาะ”

แต่ยังไงชั้นก็อยากได้อ่ะ! แล้วจะไปหาซื้อได้ที่ไหน?! ง่ายมากครับแต่ต้องมีเงินถุงเงินถังนิดนุง เข้าไปที่เว็บ nibs.com เป็นร้านขายปากกาของฝั่งอเมริกา โดยเค้าจะมีบริการโม nib ให้เป็น Spencerian customization ครับแต่ว่าที่ทำให้ผมช็อคนั้นก็คือ ราคาค่าโมมันมหาโหดเพราะต้องอาศัยความชำนานมากๆๆ ยากมากและเสี่ยงที่ nib จะพังด้วยเลยต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป้นพิเศษ ราคาเฉพาะค่าโมอยู่ที่ 110$ (3,914.68 บาท) บ้าไปแล้วแพงจังเลย! ใช่ครับราคามันสูงจนไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนเลย สู้เอาเงินไปซื้อ G-pen ใช้ดีกว่านะ

ความเห็นจากบีบีบล็อก

เป็นปากกาด้ามที่ผมคิดว่านี่แหละที่ตามหามานานแสนนาน ขอพูดเรื่องหน้าตาโดยรวมก่อนเลยนะ ถึงจะไม่ได้ดูหวือหวาแปลกตาเช่น Lamy หรืออะไรยี่ห้ออื่นที่ดูปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป้นปากกาอะไร แต่การออกแบบก็ทำได้อย่างลงตัวไม่ได้ดูเป็นปากกาเชยๆ จนหนุ่มสาวไม่กล้าหยิบใช้ เรื่องคุณภาพในการผลิตนั้นก็เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้เลยเพราะเป็นปากกาจาก Pilot ที่ใส่ใจเรื่องการผลิตกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เด็ดสุดๆ ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือเรื่องของ nib นี่แหละ

Namiki Falcon-51

ถึงแม้จะไม่ใช่เป็น flex nib แบบเต็มขั้นที่เขียนตัวอักษรประดิษฐ์ได้เต็มที่ แต่ผมมีความคิดเห็นว่า “ความยืดหยุ่นระดับนี้แหละเป็นระดับความ flex ที่สามารถใช้ได้ในทุกๆ โอกาส” ไม่ว่าคุณจะจดบันทึกแบบเร็วๆ หรือจะเขียนตัวหนังสือสวยๆ ที่ดูพิเศษกว่าปรกติก็สามารถทำได้ในด้ามเดียว(ใครที่เคยได้ของจาก แจกของ! คงจะรู้ใช่มะว่าผมหมายถึงอะไร) เพราะถ้าปากกามันเป็น flex pen แบบเต็มรูปแบบมันจะไม่สามารถใช้งานแบบทั่วไปได้สะดวกนัก พอมองต่อไปถึงด้านการวาดภาพ เวลาจะวาดรูปตัดเส้นตัวการ์ตูน สเก็ตช์ภาพก็สามารถเน้นเส้นหนาบางได้ด้วย เรียกได้ว่าครบทุกการใช้งานในปากกาด้ามเดียวเลย นี่แหละครับเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมตกหลุมรักปากกาด้ามนี้เข้าอย่างเต็มเปา

Namiki Falcon-52

สุดยอดไปเลยครับกับปากกาที่ผมใฝ่ฝันมานานแสนนาน จนสุดท้ายก็กลั้นใจกดซื้อมาเชยชมจนได้และก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ ที่ได้ซื้อไปครับเพราะไม่มีผิดหวัง จนปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) Resin ด้ามนี้กลายมาเป็นปากกาที่ผมพกประจำตัวแทนลามี่ที่รักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมชอบในความครบเครื่องของมันครับ จะเขียนก็ดีงาม จะวาดก็ดีเลิศ อีกทั้งหน้าตายังสวยงามดูดีไม่เป็นสองรองใครเลย หากจะให้ผมพูดถึงปากกาด้ามนี้ให้จบใน 1 ประโยคสั้นๆ ผมคงจะพูดว่า “ปากกา Pilot Namiki Falcon (Elabo) Resin ด้ามนี้ เป็นปากกาที่ผมชอบมากที่สุดตั้งแต่ใช้ปากกาหมึกซึมมา”

…และผมเองก็อยากให้คุณผู้อ่านได้รู้สึกเช่นเดียวกันกับผมนะ


จอมยุทธ์นกเหยี่ยวแขนเดียว the 2nd และพี่เหยี่ยวคู่หูจะสามารถปราบนังจิ้งจอกขาวพราวเสน่ห์และช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนได้หรือไม่? โปรดติดตามอ่านภาคต่อได้ในครั้งหน้า!! (ยังจะมีอีกเหรอวะ?!!)

“แต่ก่อนจะไปปราบนังจิ้งจอก ขอลองคุ้มภัย B-Course สักรอบก่อนได้มะ?” จอมยุทธ์เหยี่ยวทรัพย์สูญหันไปถามพี่เหยี่ยว

“กว๊าาาากกกๆ!” …เป็นภาษาเหยี่ยว แปลว่า ‘กุเอาด้วย!’

ปล. ตอนนี้ยาวเหยี่ยวๆ เลยอ๊ะ!

หากอ่านแล้วถูกใจชอบใจ ฝากกดแชร์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ \( - 3-)/
โพสตอนนี้อยู่ในหมวด Pen และมี tag ดังนี้ , , , , , , โพสเมื่อวันที่ .
hackhq

คนธรรมดาที่หลงใหลในการสเก็ตช์ ใช้ปากกาลามี่เป็นอาวุธ มีสมุด Moleskine เป็นผืนผ้าใบและมีจินตนาการในรูปของสีน้ำ หลงใหลรูป รส กลิ่น ของกาแฟ และเคลิบเคลิ้มกับเสียงของดนตรีแจ๊ส | ติดต่อผมบนทวิตเตอร์ได้ที่ @hackhq

เว็บไซต์ : https://www.bbblogr.com